สิงคโปร์ (Singapore)
สิงคโปร์ (Singapore) ประเทศเล็กกกกๆที่น่าสนใจ เพื่อนบ้านฝาแฝดของเกาะภูเก็ต ที่มีขนาดพื้นที่ใกล้เคียงกัน มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 697 ตารางกิโลเมตร โดยจะเป็นเกาะใหญ่หนึ่งเกาะ (เกาะสิงคโปร์) และเกาะเล็กๆ อีกมากกว่า 60 เกาะ ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของคาบสมุทรมลายู ทางทิศเหนือติดกับช่องแคบยะโฮร์ ทิศใต้ติดกับช่องแคบสิงคโปร์ ทิศตะวันออกติดกับทะเลจีนใต้ และทิศตะวันตกติดกับช่องแคบมะละกา ส่วนอากาศก็มีความใกล้เคียงกันมากเพราะเป็นอากาศร้อนฝนตกชุก แบบเขตร้อนชื้น
สิงคโปร์เป็นประเทศที่มีพื้นที่จำกัดและมีแหล่งทรัพยากรธรรมชาติอยู่น้อย สินค้าส่งออกที่สำคัญจึงเป็นพวกเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ น้ำมันสำเร็จรูป แผงวงจรไฟฟ้า และส่วนประกอบอากาศยานและอุปกรณ์การบิน ส่วนสินค้านำเข้าที่สำคัญก็จะเป็นพวก พลังงาน อาหาร และวัตถุดิบในงานอุตสาหกรรม เช่น ยางพารา
เดิมสิงคโปร์เป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า เทมาเส็ก (Temasek) หรือ ทูมาสิก (Tumasik) มีกษัตริย์เป็นผู้ปกครอง ในศตวรรษที่ 3 ของประวัติศาสตร์จีน มีการกล่าวถึงสิงคโปร์เป็นครั้งแรก ในชื่อของ โปหลัวชาง (Pu-Luo-Chung) ที่หมายถึงปลายสุดของคาบสมุทร
ในศตวรรษที่ 13 เจ้าชายแสง นิลา อุตามา (Sang Nila Utama) แห่งปาเลมบัง (Palembang) (นครพระราชอาณาจักรศรีวิชัยประเทศอินโดนีเซีย) เดินทางออกมาแสวงหาสถานที่สำหรับสร้างเมืองใหม่ และได้สร้างเมืองขึ้นที่บริเวณเกาะเทมาเส็กและเปลี่ยนชื่อเป็น สิงหปุระ (Singapura) หรือ “เมืองสิงโต” ซึ่งมาจากคำในภาษาสันสกฤต “สิงหะ (simha)” (สิงโต) กับคำว่า “ปุระ (pura)” (เมือง)
พ.ศ.2054 สิงคโปร์ตกเป็นเมืองขึ้นของโปรตุเกส
พ.ศ.2434 เซอร์ สแตมฟอร์ด ราฟเฟิลส์ (Sir Stamford Raffles) ตัวแทนของบริษัทบริติชอินเดียตะวันออก (The British East India Company) เดินทางมาตกลงการค้ากับสุลต่านผู้ปกครองสิงคโปร์ โดยมีการลงนามทำข้อตกลงเพื่อให้สิทธิ์แก่อังกฤษในการก่อตั้งสถานีการค้าที่สิงคโปร์และจัดตั้งเป็นท่าเรือปลอดภาษี สำหรับประเทศแถบเอเชียรวมถึงสหรัฐอเมริกาและตะวันออกกลาง และต่อมาก็ยึดครองสิงคโปร์ไว้ได้
สิงคโปร์ยุคใหม่ได้รับการก่อตั้งขึ้นในศตวรรษที่ 19 อันเนื่องมาจากการเมือง การค้า และบุรุษที่รู้จักกันในนาม เซอร์ สแตมฟอร์ด ราฟเฟิลส์ (Sir Stamford Raffles)
ในช่วงเวลาดังกล่าว จักรวรรดิอังกฤษกำลังมองหาท่าจอดเรือสินค้าในภูมิภาคนี้เพื่อใช้เป็นฐานสำหรับกองเรือสินค้าของตน และเพื่อไม่ให้ฝ่ายกองเรือของดัตช์ช่วงชิงความได้เปรียบในการแข่งขันทางการค้าจากฝ่ายอังกฤษ สิงคโปร์ ซึ่งในขณะนั้นเป็นศูนย์กลางทางการค้าที่กำลังรุ่งเรืองในแถบช่องแคบมะละกาอยู่ก่อนแล้ว จึงกลายเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
ราฟเฟิลส์ ซึ่งในขณะนั้นเป็นรองผู้ว่าการเมืองเบงคูเลน (ปัจจุบันนี้คือ เบงกูลู) ในเกาะสุมาตรา ได้เดินทางมาขึ้นฝั่งที่สิงคโปร์ในวันที่ 29 มกราคม ค.ศ. 1819 หลังจากที่ได้เล็งเห็นถึงศักยภาพอันมหาศาลของเกาะที่เต็มไปด้วยที่ลุ่มน้ำและหนองบึงแห่งนี้ จึงได้เข้ามาช่วยเจรจาทำสนธิสัญญากับบรรดาผู้ปกครองท้องถิ่น และก่อตั้งสิงคโปร์เป็นสถานีการค้าขึ้นมา เมืองแห่งนี้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นศูนย์กลางการค้าโดยเน้นเรื่องการให้บริการคลังสินค้า ทำให้ผู้คนอพยพหลั่งไหลเข้ามาทำงานทั้งจากประเทศจีน อินเดีย หมู่เกาะมาเลย์ และดินแดนที่ไกลออกไป
ในปี ค.ศ. 1822 ราฟเฟิลส์ได้ประกาศใช้แผนการจัดการผังเมืองของราฟเฟิลส์ (Raffles Town Plan) ซึ่งเรียกกันอีกชื่อว่า แผนการแจ็คสัน (Jackson Plan) เพื่อเข้ามาจัดการปัญหาความไร้ระเบียบในดินแดนอาณานิคมแห่งนี้ บริเวณย่านที่พักอาศัยได้ถูกแบ่งออกเป็น 4 ส่วนตามเชื้อชาติ เมืองยุโรปมีผู้พำนักเป็นพ่อค้าชาวยุโรป ชาวยูเรเซีย และชาวเอเชียผู้มั่งคั่ง ในขณะที่ชุมชนชาวจีนนั้นตั้งอยู่ในบริเวณที่เป็นไชน่าทาวน์ในปัจจุบันและด้านตะวันออกเฉียงใต้ของแม่น้ำสิงคโปร์ ชาวอินเดียพักอาศัยอยู่ในย่านชูเลีย กัมปง (Chulia Kampong) ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของย่านไชน่าทาวน์ และย่านกัมโปงกลาม ก็จะมีชาวมุสลิม ชาวมาเลย์ และชาวอาหรับซึ่งได้อพยพเข้ามาตั้งรกรากในสิงคโปร์ สิงคโปร์ยังคงเดินหน้าพัฒนาอย่างต่อเนื่องในฐานะสถานีการค้า โดยมีการตั้งธนาคารพาณิชย์ สมาคมนักธุรกิจ และสภาหอการค้าที่สำคัญ ๆ หลายแห่ง ในปี ค.ศ. 1924 มีการเปิดสะพานซึ่งเป็นเส้นทางคมนาคมเชื่อมทางตอนหนือของสิงคโปร์กับยะโฮร์ บาห์รูของมาเลเซีย
ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สิงคโปร์ถูกโจมตีโดยกองทัพญี่ปุ่นในวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ. 1941 ผู้รุกรานบุกเข้ามาทางทิศเหนือ โดยทำให้ผู้บัญชาการกองกำลังของอังกฤษหลงกลเนื่องจากคาดว่าญี่ปุ่นจะยกพลขึ้นบกจากทางทิศใต้ ถึงแม้ว่าจะมีกองกำลังมากกว่า แต่ฝ่ายสัมพันธมิตรก็ยอมแพ้ต่อกองกำลังญี่ปุ่นในวันตรุษจีน ซึ่งตรงกับวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1942 นับเป็นการยอมแพ้ของกองกำลังที่นำโดยอังกฤษครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ เกาะแห่งนี้ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยได้รับสมญานามว่า “ป้อมปราการที่ไม่อาจตีฝ่าเข้าไปได้” ได้รับการเปลี่ยนชื่อเสียใหม่เป็น โชนันโตะ (Syonan-to) (หรือ “แสงแห่งเกาะใต้” ในภาษาญี่ปุ่น)เมื่อกองทัพญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้สงครามในปี ค.ศ. 1945 เกาะสิงคโปร์จึงถูกส่งมอบให้แก่คณะผู้บริหารกองทัพอังกฤษ (British Military Administration) ซึ่งอยู่ในอำนาจมาจนกระทั่งมีการยุบนิคมช่องแคบ (Straits Settlement) ซึ่งประกอบด้วย เกาะปีนัง มะละกา และสิงคโปร์ ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1946 สิงคโปร์ได้กลายเป็นดินแดนอาณานิคมอังกฤษ
ในปี ค.ศ. 1959 กระแสชาตินิยมที่ทวีขึ้นทุกขณะได้นำไปสู่การปกครองตนเอง และมีการจัดการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศ พรรคกิจประชาชน (People’s Action Party - PAP) ชนะการเลือกตั้งครองเสียงข้างมากในสภาจำนวน 43 ที่นั่ง และนายลี กวน ยู ก็ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของสิงคโปร์
พ.ศ.2506 สิงคโปร์ได้รับเอกราชจากอังกฤษและเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสหพันธรัฐมลายา หรือมาเลเซียในปี (ค.ศ. 1963 )ได้มีการก่อตั้งประเทศมาเลเซีย ซึ่งประกอบขึ้นด้วยสหพันธรัฐมาลายา สิงคโปร์ ซาราวัก และบอร์เนียวเหนือ (ปัจจุบันนี้คือซาบาห์) การเดินเกมการเมืองในครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกันให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่าการควบรวมสิงคโปร์เข้าไปในครั้งนั้นไม่ประสบความสำเร็จ
พ.ศ.2508 สิงคโปร์แยกตัวออกจากมาเลเซีย และประกาศตัวเป็นเอกราช ตั้งแต่นั้นมาสิงคโปร์ก็พยายามพัฒนาและปรับปรุงประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้า และประชากรมีมาตรฐานคุณภาพชีวิตที่สูงสุด
ทุกวันนี้ สิ่งของและสถานที่ต่าง ๆ ที่บอกเล่าเรื่องราวในอดีตของสิงคโปร์ซึ่งเป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมหลากหลาย เรื่องราวในยุคสมัยอาณานิคม และยุคสงคราม ได้รับการอนุรักษ์เอาไว้เป็นอย่างดีทั้งในตัวเมืองและบริเวณรอบ ๆ สามารถเยี่ยมชมอนุสาวรีย์ พิพิธภัณฑ์ และอนุสรณ์สถานต่าง ๆ หรือเดินทางย้อนเวลากลับไป โดยการเดินไปตามเส้นทางเดินเที่ยวสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์