วันพฤหัสบดีที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

 

ชุดความรู้พื้นที่รูปธรรมตำบลจัดทำแผนพัฒนาชุมชนท้องถิ่นสู่การพึ่งพาตนเองได้อย่างมั่นคงและสมดุล

เทศบาลนครภูเก็ต  อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต

“นครภูเก็ตเมืองแห่งความหวัง สังคมแห่งการให้ บนความหลากหลายทางวัฒนธรรม”

 

บริบทของพื้นที่

เทศบาลนครภูเก็ตประกอบด้วยพื้นที่ ๒ ตำบลคือ ตำบลตลาดเหนือและตำบลตลาดใหญ่ แต่เดิมเป็นสุขาภิบาลเมืองภูเก็ต ต่อมาสุขาภิบาลเมืองภูเก็ตได้รับการยกฐานะเป็นเทศบาลเมืองภูเก็ต โดยพระราชกฤษฎีกาการจัดตั้งเทศบาลเมืองภูเก็ต พ.ศ. ๒๔๗๘ เรียกว่า "เทศบาลเมืองภูเก็ต" เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ และได้เปลี่ยนแปลงฐานะเป็นเทศบาลนครภูเก็ต เมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๗ พื้นที่ ๑๒ ตารางกิโลเมตร

          ทิศเหนือ จด ท้องที่ตำบลรัษฎา อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต

          ทิศใต้ จด ท้องที่ตำบลวิชิต อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต

ทิศตะวันออก จด  ท้องที่ตำบลรัษฎา และทะเลอันดามัน

          ทิศตะวันตก จด  อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต

          ปัจจุบันมีการจัดตั้งชุมชนในท้องที่ตำบลตลาดใหญ่ รวม ๒๒ ชุมชน ประกอบด้วย

          ๑. ชุมชนหลังศาลากลางจังหวัดภูเก็ต, ๒. ชุมชนโกมารภัจจ์, ๓. ชุมชน ๔๐ ห้อง, ๔. ชุมชนต้นโพธิ์,

๕. ชุมชนกอไผ่ ๖. ชุมชนแสนสุข ๗. ชุมชนร่วมน้ำใจ ๘. ชุมชนสะพานร่วม ๑  ๙. ชุมชนสะพานร่วม ๒

๑๐. ชุมชนถนนหลวงพ่อ  ๑๑. ชุมชนสุทัศน์ ซอย ๒   ๑๒. ชุมชนขุมน้ำนรหัช ๑๓. ชุมชนสามัคคีสามกอง

๑๔. ชุมชนย่านเมืองเก่าจังหวัดภูเก็ต  ๑๕. ชุมชนย่านเมืองเก่าชาเตอร์แบงค์  ๑๖. ชุมชนอ่าวเกใน

๑๗. ชุมชนซีเต็กข่า  ๑๘. ชุมชน ๑๓๑ ๑๙.ชุมชนหลังหอประชุม ๒๐.ชุมชนซีเต็กข่า2 ๒๑.ชุมชนซีเต็กข่า3

 ๒๒.ชุมชนซีเต็กข่า4 (23.ชุมชนหัสนานิเวศน์ กำลังรอดำเนินการ)

 

 

 


ในอดีตตำบลตลาดใหญ่ เป็นตำบลที่เป็นที่ตั้งของจวนเจ้าเมืองเก่าภูเก็ต ย่านการค้าเก่าแก่ของเมืองภูเก็ต  บุคคลสำคัญส่วนหนึ่งเป็นทั้งข้าราชการสำคัญ และคหบดีที่ร่ำรวยจากการทำธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจเหมืองแร่ ซึ่งมีสำนักงานตั้งอยู่ในย่านเมืองเก่าภูเก็ต 

“ตลาดใหญ่” เป็นชื่อเรียกตำบลหนึ่งในเขตเทศบาลนครภูเก็ต แต่เดิมหมายถึงพื้นที่บริเวณย่านการค้าเมืองเก่าภูเก็ต บริเวณถนนถลาง ตั้งแต่สี่แยกแถวน้ำ ไปจดต้นสายถนนกระบี่ ซึ่งเป็นย่านการค้าเก่าแก่ที่มีมาตั้งแต่เมื่อครั้งพระยาวิชิตสงคราม (ทัต รัตนดิลก ณ ภูเก็ต) ได้ย้ายเมืองภูเก็ต จากบ้านเก็ตโฮ่มายังบ้านทุ่งคา ริมคลองบางใหญ่ เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๒  คนพื้นเมืองภูเก็ตจะเรียก ตลาดใหญ่ ตามภาษาถิ่นว่า “หลาดใหญ่” ทั้งนี้ในอดีต ตลาดใหญ่ เป็นย่านการค้าที่มีความเป็นพหุสังคมประกอบด้วยคนหลายเชื้อชาติ อาทิ จีน อินเดีย ปากีสถาน เป็นต้น นอกจากนี้ยังประกอบด้วยผู้คนหลากหลายศาสนาและความเชื่อมาประกอบอาชีพค้าขาย อาทิ พุทธ อิสลาม ฮินดู ซิกซ์ คริสต์ เป็นต้น อยู่ร่วมกันจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้คนกลุ่มใหญ่จะเป็นคนจีนที่มาตั้งรกรากและเรียกตลาดใหญ่ว่า “ตัวโพ้” ซี่งคำว่า “ตัว” ในภาษาจีนฮกเกี้ยน หมายถึง ใหญ่ และคำว่า “โพ้” หมายถึง ย่านการค้าหรือตลาดนั้นเอง

 



    สี่แยกธนาคารชาร์เตอร์ในปัจจุบัน

 

          ย่านเมืองเก่าภูเก็ต เป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คท่องเที่ยวสำคัญในจังหวัดภูเก็ต ที่ให้เราดื่มด่ำไปกับความสวยงามของอาคารสไตล์ชิโนโปรตุกีสที่ตั้งเด่นเป็นสง่าตลอดสองฝั่งถนน อาคารเก่าแก่เหล่านี้สร้างขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2446 เมื่อย้อนกลับไปในอดีต ภูเก็ตเต็มไปด้วยทรัพยากรแร่ดีบุกที่มีราคาสูง เป็นเหตุผลให้ชาวตะวันตกและชาวจีนสนใจเข้ามาลงทุนซื้อขายแร่ดีบุกกันเป็นจำนวนมาก จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมตะวันตกและจีน สะท้อนผ่านสถาปัตยกรรมชิโนโปรตุกีสที่เห็นในปัจจุบัน และกลายเป็นแลนด์มาร์คที่มีเสน่ห์ดึงดูดให้ใครต่างก็อยากเข้ามาสัมผัส

บทบาทของสภาองค์กรชุมชนกับการฟื้นฟูและพัฒนาคนในชุมชน





          เขตเทศบาลนครเป็นย่านชุมชนเมืองมาแต่อดีตการเติบโตมีมายาวนานผู้คนหลากหลายเข้ามาเพื่อลงทุน หางาน ค้าขาย และมีเศรษฐกิจที่รุ่งเรืองมากในช่วงอุตสาหกรรมเหมืองแร่ และเมื่อหมดยุคเหมืองแร่ก็ได้ทิ้งร่องรอยความเจริญตราบถึงปัจจุบัน

          การอาศัยในเขตเมืองทำให้ผู้คนต้องมีการดิ้นรนเพื่อแข่งขันทำมาหากินโดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยว ที่ดินราคาแพง ค่าครองชีพสูง เพื่อความอยู่รอดลดความเหลื่อมล้ำทำให้ต้องมีการรวมกลุ่มขึ้นเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น เทศบาลนครภูเก็ตมีการรวมกลุ่มที่อยู่อาศัยเป็นลักษณะชุมชน และสภาองค์กรชุมชนเป็นกลุ่มองค์กรที่พัฒนามาจากการเริ่มรวมตัวกันจากการแก้ปัญหาเมื่อปี 2548 และเริ่มจากกลุ่มออมทรัพย์ต่อยอดเป็นกองทุนสวัสดิการชุมชนเพื่อมาดูแลเรื่องสวัสดิการพื้นฐานเกิดแก่เจ็บตายให้คนในชุมชน เมื่อกองทุนมีความเข้มแข็งก็สามารถเชื่อมโยงกลุ่มต่าง ๆ เข้าด้วยกันภายใต้สภาองค์กรชุมชน และกลุ่มที่มีความโดดเด่นในเขตเทศบาลนครได้แก่ชุมชนย่านเมืองเก่าและวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวย่านเมืองเก่า เนื่องจากก่อนสถานการณ์โควิดย่านการค้าภูเก็ตเริ่มเปลี่ยนไปมีการซบเซาลงเนื่องจากมีการเปิดตัวศูนย์การค้าขนาดใหญ่จำนวนมากกระจายตัวไปตามแหล่งท่องเที่ยวหลักเช่น ป่าตอง เชิงทะเล และ เขตตำบลวิชิต ทำในการค้าในเขตเมืองลดความสำคัญลงจึงเกิดการรวมกลุ่มกันจัดตั้งกลุ่มเพื่อแก้ปัญหาและมาพัฒนาชุมชนย่านเมืองเก่าจนสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวมากขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว



อั่งอาหล่าย หรือ ซอยรมณีย์

จากบทสัมภาษณ์ คุณสมยศ   ปาทาน   ประธานวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวย่านเมืองเก่า ถ้าไม่ทำการท่องเที่ยวโดยชุมชน เราจะไม่สามารถต้านกระแสทุนนิยมได้ ซึ่งเราไม่ได้คิดถึงเรื่องเงินเป็นที่ตั้ง เพราะนั่นไม่ใช่การท่องเที่ยวโดยชุมชนอย่างแท้จริง เราจึงไม่เน้นปริมาณนักท่องเที่ยว แต่เน้นนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ”

จังหวัดภูเก็ตถือเป็นจุดหมายปลายทางยอดฮิตของนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งนอกจากจะมีหาดทรายขาว ทะเลสวย ที่ชวนให้หลงใหลแล้ว ยังมี “ชุมชนเมืองเก่าภูเก็ต” อีกจุดหมายที่จะสร้างความประทับใจไม่รู้ลืมให้แก่ผู้มาเยือนอีกด้วย ซึ่งในอดีตชุมชนนี้ได้ทำถนนคนเดินจนเป็นที่นิยม และนับเป็นถนนคนเดินแห่งแรกๆ ของไทยที่ชาวบ้านลงทุนลงแรง บริหารจัดการเอง และเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง แต่การทำการท่องเที่ยวในครั้งนี้ก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป เพราะเกิดปัญหาว่าทำไมนักท่องเที่ยวมาเยอะ แต่ชุมชนกลับไม่ได้รับประโยชน์เท่าที่ควร จนพบว่าการทำการท่องเที่ยวกระแสหลักเพียงอย่างเดียว ทำให้เม็ดเงินส่วนใหญ่ที่เกิดจากการจับจ่ายของนักท่องเที่ยวไปอยู่ที่อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น ร้านอาหารขนาดใหญ่ หรือโรงแรม ส่งผลให้รายได้ไปไม่ถึงชุมชน ชาวชุมชนย่านเมืองเก่าภูเก็ต จึงพูดคุยระดมความคิดในการนำทรัพยากรที่มีอยู่ อย่างสถาปัตยกรรมอันเก่าแก่แต่ยังคงความงดงาม มาชูเป็นจุดเด่นในการท่องเที่ยว และนำเสนอในรูปแบบ "การท่องเที่ยวโดยชุมชน" เพื่อให้เกิดการกระจายรายอย่างเท่าเทียม โดยมีอพท.และหน่วยงานอื่นๆ ทั้งในพื้นที่และส่วนกลางมาช่วยหนุนเสริม โดยชุมชนเริ่มเตรียมความพร้อมด้วยการขอคำแนะนำจากชุมชนที่มีศักยภาพในการทำท่องเที่ยว มาแบ่งปันความรู้และช่วยเสนอข้อคิดเห็น จนเกิดเป็นเครือข่ายชุมชนของจังหวัด  หันไปเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ โดยลบภาพจำเดิมๆ และพยายามนำเสนอแง่มุมใหม่ๆ ในการท่องเที่ยวอย่าง Local Experience หรือการท่องเที่ยวแบบวิถีชุมชน และพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ให้กิจกรรมมีความน่าสนใจยิ่งขึ้น โดยไม่ได้เลือกนำเสนอทุกอย่างในชุมชน แต่เลือกกิจกรรมที่เหมาะสมกับนักท่องเที่ยว เพื่อให้ได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดกลับไป ถึงแม้การตลาดจะดีอย่างไร แต่ถ้าไม่เอื้อต่อคนทุกเพศทุกวัย หรือบุคคลที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ การท่องเที่ยวโดยชุมชนที่มีมาตรฐาน ก็จะเติบโตได้ยาก เหล่านี้ทำให้ชุมชนเมืองเก่าภูเก็ตสามารถเปิดรับตลาดกลุ่ม MICE และมีการทำท่องเที่ยวเชิงชายฝั่ง รวมถึงเริ่มจดทะเบียนธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์อีกด้วย

ถึงแม้ช่วงนี้จะเกิดวิกฤตจากโควิด-19 แต่ ด้วยโครงสร้างของชุมชนที่เข้มแข็ง มีการจัดการที่ดี และมีความพร้อมอยู่เสมอ ทำให้ช่วงโควิดระลอกที่ผ่านมา แม้ชุมชนจะทำการท่องเที่ยวได้เพียง 4 เดือน แต่กลับมีรายรับร่วมหลักล้าน เพื่อใช้ในการบริหารจัดการ ปันผลและสร้างเป็นสาธารณประโยชน์ภายในชุมชนจะเห็นได้ว่าถึงแม้นักท่องเที่ยวจะลดลง แต่การเจาะตลาดนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ ก็ทำให้ชุมชนก็จะมีรายได้ที่เพิ่มขึ้น

.ที่ผ่านมาเราสู้มาโดยตลอด และไม่ได้ยึดเรื่องเงินเป็นที่ตั้ง เพราะไม่อย่างนั้นเราจะถูกครอบงำด้วยการท่องเที่ยวกระแสหลัก ซึ่งไม่ใช่การท่องเที่ยวโดยชุมชนอย่างแท้จริง และหากเราไม่มาทำตรงนี้อาจจะมีคนนอกเข้ามาหาผลประโยชน์จากชุมชนของเราไปแล้วก็ได้ ซึ่งการท่องเที่ยวโดยชุมชนทำให้สังคมเมืองที่เคยต่างคนต่างอยู่ เกิดการรวมกลุ่ม มาร่วมกันคิด ช่วยกันพัฒนา โดยการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนนี้เอง ที่ถือเป็นปัจจัยความสำเร็จของชุมชนเรา”

สถานการณ์โควิด-19

          เป็นที่ทราบกันดีว่าการแพร่ระบาดของไวรัส โคโรน่า 2019 ส่งผลกระทบอย่างหนักในเมืองท่องเที่ยวโดยเฉพาะจังหวัดภูเก็ต ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวหลักของนักท่องเที่ยวจากทุกสารทิศทั่วโลก เมื่อเกิดการระบาดของโควิด ตั้งแต่ปี 2562 ภูเก็ตเป็นพื้นที่แรก ๆ ของโลกในการรับเชื้อที่แพร่กระจายจากต้นกำเนิดสู่ต่างแดน เราได้ใช้ความพยายามอย่างมากในการสกัดกั้นการแพร่กระจายของไวรัสดังกล่าวจนสามารถผ่านพ้นวิกฤตการณ์มาได้ แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ได้รับผลกระทบความเสียหายด้านเศรษฐกิจอย่างหนักจ ากการปิดตำบลปิดจังหวัด ปิดประเทศการใช้มาตรการที่เข้มงวดในการเว้นระยะห่างในระยะเวลาที่ยาวนานกว่าที่คาดการณ์ไว้ และที่สำคัญสถานการณ์ทั่วโลกยังขยายวงกว้างและรุนแรงในหลายภูมิภาค ทำให้ธุรกิจหลายอย่างต้องหยุดหรือปิดกิจการลง ผู้คนขาดอาชีพขาดรายได้ ทั้งที่มีรายจ่าย และหนี้สิน และเมื่อเกิดการระบาดในรอบ 3 ที่กระทบต่อจังหวัดภูเก็ตโดยตรงยิ่งซ้ำเติมคนในภูเก็ตมากขึ้น ผู้นำชุมชนและกลุ่มต่าง ๆ จึงได้มีการพูดคุยประเมินสถานการณ์เพื่อให้สามารถปรับตัวตั้งรับกับวิกฤติการณ์ครั้งนี้ไปให้ได้และมองหาในทางฟื้นฟูชีวิตชุมชนท้องถิ่นกันอีกระลอกหนึ่ง


                     

ในช่วงโควิด-19 รอบแรกกองทุนสวัสดิการได้ให้ความช่วยเหลือคนที่อยู่ในชุมชนซึ่งพบว่าเป็นผู้ที่ไปประกอบอาชีพ รับจ้าง ค้าขาย งานโรงแรมสปา และหยุดกิจการกระทันหันทำให้ไม่ได้มีการตั้งรับไว้ในส่วนชาวบ้านได้มาวิเคราะห์สถานการณ์ว่าโรคระบาดน่าจะส่งผลกระทบอีกยาวจึงได้ทำโครงการเสนอ พอช. เพื่อแก้ปัญหาวิกฤติโดยใช้เศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งสนับสนุนการมีแหล่งอาหารชุมชนโดยการปลูกผัก ในครอบครัวต้นแบบ   ตามชุมชนต่าง ๆ สามารถออกผลผลิตให้ครัวเรือนลดรายจ่ายมีแบ่งปันมาจนถึงทุกวันนี้และในช่วงระบาดรอบ 3 การกระจายกล้าพันธุ์สอนวิธารปลูกพืชผลในพื้นที่จำกัดเพื่อให้คนในชุมชนได้แบ่งปันกันกิน

 




นอกจากนี้การปรับเปลี่ยนระเบียบกองทุนสวัสดิการชุมชนเพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์วิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นโดยมีการเพิ่มการดูแลผู้ป่วยโควิดให้กับสมาชิก พร้อมทั้งมีการจำหน่ายสินค้าบริโภคที่จำเป็นในราคาคนละครึ่งกับสมาชิกและผู้ด้อยโอกาสในชุมชนที่มีสมาชิกติดเชื้อโควิดและถูกกักตัว จำนวน 300 ชุด ร่วมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดภูเก็ต เครือข่ายผู้บริโภคจังหวัดภูเก็ตและเทศบาลนครภูเก็ต

  


กลไกการขับเคลื่อนชุมชน 

 

สภาองค์กรชุมชนเทศบาลนครภูเก็ตเป็นองค์กรชุมชนที่สามารถเชื่อมโยงหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและวิสาหกิจในพื้นที่ได้เป็นอย่างดีสามารถเชื่อมประสานเพื่อทำงานแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้กับคนในชุมชนในทุกมิติ ตัวอย่างผลงานที่โดเด่นของเครือข่ายองค์กรชุมชนในพื้นที่

กองทุนสวัสดิการชุมชน

-        มีการพัฒนาระบบข้อมูลให้ทันสมัยสามารถออกรายงานและข้นข้อมูลที่เป็นปัจจุบันได้

-        มีปฏิทินการทำงานที่สามารถลงพื้นที่โดยเฉพาะเข้าไปในชุมชนหมุนเวียนกันมีตัวแทนในชุมชนช่วยกันทำหน้าที่ดูแลกันได้ เช่น การเยี่ยมไข้ การเฝ้าระวังป้องกันโรคติดต่อ การประสานความร่วมมือช่วยเหลือผู้เดือดร้อนคลอบคลุมหลายด้านตามความต้องการของสมาชิก เช่นการจำหน่ายสินค้าเพื่อยังชีพราคาถูกแก่สมาชิก

-        คนในพื้นที่ให้ความสนใจให้ความร่วมมือ ช่วยกันประชาสัมพันธ์บอกต่อ

-        การให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เช่น การเก็บตะเกียบ หลอดกาแฟมาทำผลิตภัณฑ์จำหน่ายเป็นของที่ระลึกโดยเพิ่มรายได้ให้กับครอบครัวผู้พิการ ลดขยะรักษาสิ่งแวดล้อม

-        การประสานหน่วยงานหางานให้สมาชิก

 

องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น  สภาองค์กรชุมชนเทศบาลและสมาชิกของสภาสามารถประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่มีความใกล้ชิดในพื้นที่ ทั้ง อบจ. และเทศบาลนคร โดยผู้บริหารของ อปท. ให้ความร่วมมือช่วยเหลือองค์กรต่าง ๆ ด้วยดีตลอดมา มีการสนับสนุนงบประมาณให้อย่างต่อเนื่องเพื่อสมทบสมาชิกและพัฒนาองค์กร

วิสาหกิจชุมชน  การรวมกลุ่มของคนในชุมชนต่าง ๆ ในเขตเทศบาลนครมีความโดดเด่นในการแก้ปัญหาของแต่ละกลุ่ม โดยเฉพาะชุมชนย่านเมืองเก่า และกลุ่มท่องเที่ยวย่านเมืองเก่านอกจากพลิกฟื้นสถานการณ์ที่กำลังซบเซาให้กลับมาเกิดการตื่นตัวย่านการท่องเที่ยวได้ชัดเจน นอกจากนี้คนในชุมชนยังไม่ทอดทิ้งผู้ด้อยโอกาสมีการช่วยเหลือดูแลประสานกองทุนสวัสดิการในการช่วยเหลือสร้างโอกาส ดูแลด้านการเป้นอยู่ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และมีการเพิ่มช่องทางการตลาดด้วยการรับฝากขายสินค้าจากเครือข่าย มีการจ้างงาน การออกร้าน การสาธิต การรับซื้อขนม เครื่องดื่มอาหารเชื่อมโยงกลุ่มต่าง ๆ เมื่อเกิดภัยโรคระบาดก็มีการออกแบบการช่วยเหลือสมาชิกเช่น การสำรวจข้อมูลสร้างความเข้าใจการกระจายวัคซีนให้สมาชิกสามารถรู้ถึงความสำคัญในการป้องกันโรคและเข้าถึงวัคซีน

 

ข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนา

-                  ในส่วนของกองทุนสวัสดิการ ทางกลุ่มต่าง ๆ อยากให้มีการประชาสัมพันธ์ที่เพิ่มขึ้นเข้าถึงคนทุกเพศทุกวัยทุกโอกาส ให้มีสื่อที่ทันสมัย มีการจูงใจให้มาเป็นสมาชิก เพิ่มช่องทางในการรับสมัครให้มากขึ้นมากกว่าระบบตัวแทนที่ทำกันอยู่

-                  การพัฒนาด้านเศรษฐกิจ เนื่องจากสถานการณ์โรคติดต่อไม่เอื้อประโยชน์ต่อจังหวัดที่เน้นการท่องเที่ยวเป็นหลักเช่นภูเก็ต อีกทั้งสถานการณ์ยังคงดำเนินมาอย่างยาวนานและยังไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุดลง จึงจำเป็นต้องมีการปรับตัวของสมาชิกให้สามารถผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปให้ได้ ในส่วนของสมาชิกย่านเมืองเก่าก็มีการเปลี่ยนพื้นที่ให้เป็นร้านค้าร้านอาหารร้านกาแฟเพื่อให้เกิดการจ้างงาน

-                  ร้านค้า ที่พัก มีการจัดมาตรฐานความปลอดภัย โดยพยายามให้เข้ามาตรฐาน SHA และ SHA+  เพื่อให้สอดรับกับนโยบายจังหวัด

-                  การมีเข็มกลัดให้สมาชิกที่รับวัคซีนครบโดส เมื่อมาทำงานหรือเปิดร้านก็สร้างความมั่นใจแก่ลูกค้า

-                  การคัดกรองคนที่จะเข้ามาในจังหวัดทั้งนักท่องเที่ยวและไม่ใช่นักท่องเที่ยวให้มีความเข้มงวดไม่ควรมีการผ่อนปรนควรต้องผ่านการตรวจ หรือรับวัคซีนครบโดส เพราะสมาชิกมีความกังวลในมาตรการผ่อนผันให้กักตัว 14 วันได้ และยังมีคนที่เข้ามาแบบผิดขั้นตอน และการเข้ามาทางน้ำที่ไม่ผ่านการตรวจสอบ รวมถึงคนที่มาจากพื้นที่เสี่ยงภายในประเทศ จึงเห็นควรว่าถ้าไม่ฉีดวัคซีนมาควรมีการตรวจ SWAP เพื่อความปลอดภัย

<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<<

วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2561

Dalat Muine เวียดนาม

ลืมเรื่องเครียดเครียดแล้วไปเวียดนาม!!!!!!!!!!!
วางแผนเดินทางโดยคำนวณตั๋วราคาถูก
เริ่มจาก กรุงเทพ - โฮจิมิน - ด่าลัต  กลับ ด่าลัต-กรุงเทพ
หรือ กรุงเทพ- ด่าลัต ต่อ ด่าลัต - โฮจิมิน กลับ โฮจิมิน - กรุงเทพ เอาที่สะดวกเลย

ส่วนทริปนี้ เราเริ่มที่ ภูเก็ต- กรุงเทพ - ด่าลัต  กลับ โฮจิมิน- ภูเก็ต

เที่ยว 3 เมือง ด่าลัต Dalat - มุ้ยแหน Muine -  ไซ่ง่อน Hochimin City


                         เมืองดาลัตเป็นเมืองในหุบเขาบ้านเมืองจึงสวยงามอากาศเย็นสบายและดอกไม้มากมายสวยงามมาก เหมาะกับการพักผ่อนเติมพลังให้ชีวิต
 การเที่ยวดาลัตไปง่ายเพราะผู้คนน่ารักเป็นมิตรอย่างมากสามารถติดต่อทัวร์ที่บริษัทนำเที่ยวแถวในเมืองที่ซื้อตั๋วรถกรือเค้าน์เตอร์โรงแรมจะใช้รถ suv แท๊กซี่ หรือเช่ามอร์ไซค์ราคาไม่แพงเลย



                       
เนื่องจากดาลลัตอากาศเย็นสบายอุณหหภูมิเฉลี่ยทั้งปีไม่เกิน 20 องศาจึงทำให้เมืองนี้เต็มไปด้วยดอกไม้ โดยเฉพาะดอกไฮเดรนเยียเป็นดอกไม้ประจำเมืองเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเดินทางไปไหนๆแม้นแต่ริมถนนก็สามารถพบเห็นดอกไฮเดรนเยียช่อโตๆประดับประดาเต็มไปหมดหรือถ้าจะเที่ยวชมแบบตื่นตาก็สามารถไปที่สวน "ฮเดรนเยียที่เขาปลูกไว้ให้บริการถ่ายภาพในสวนได้






กาแฟเวียดนามเป็นสินค้าส่งออกที่ขึ้นชื่อมานานจึงไม่แปลกใจที่เมืองนี้จะมีร้านกาแฟสวยๆทุกตรอกซอกซอย และที่มันดีมากๆก็คือหลายร้านมีมุมถ่ายรูปสวยๆจิบกาแฟดริ๊ปช้า ๆ ชมวิวตึกรามบ้านช่อง




 มีโบสถ์ตามชุมชนต่างๆสถาปัตยกรรมออกไปแนวยุโรปเพราะรับอิทธิพลจากฝรั่งเศส






ส่วนเรื่องอาหารก็บอกได้เลยว่าทานได้ไม่แย่เลยไม่ว่าจะเฝอ บันหมีที่หน้าตาคล้ายเบอเกอร์ แหนมเนืองผักยกสวนแล้วที่แนะนำคือเกิ่มตั๋ม ComTum เป็นข้าวหน้าหมูย่างทานกับผักดองเข้ากันดี๊ดี

หลังจากชื่นชมดอกไม้สวยๆ อากาศเย็นสบาย โปรแกรมต่อไปเราจะนำเพื่อนร่วมทางตะลุยทะเลทรายที่เมือง มุยแหน Mui ne ทะเลทรายในเวียดนาามจริงๆค่ะ อย่าพลาดนะคะ



วันศุกร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2560

สาธารณรัฐสิงคโปร์ (Republic of Singapore)

 สิงคโปร์ (Singapore)

                สิงคโปร์ (Singapore) ประเทศเล็กกกกๆที่น่าสนใจ เพื่อนบ้านฝาแฝดของเกาะภูเก็ต ที่มีขนาดพื้นที่ใกล้เคียงกัน มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 697 ตารางกิโลเมตร โดยจะเป็นเกาะใหญ่หนึ่งเกาะ (เกาะสิงคโปร์) และเกาะเล็กๆ อีกมากกว่า 60 เกาะ ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของคาบสมุทรมลายู ทางทิศเหนือติดกับช่องแคบยะโฮร์ ทิศใต้ติดกับช่องแคบสิงคโปร์ ทิศตะวันออกติดกับทะเลจีนใต้ และทิศตะวันตกติดกับช่องแคบมะละกา ส่วนอากาศก็มีความใกล้เคียงกันมากเพราะเป็นอากาศร้อนฝนตกชุก แบบเขตร้อนชื้น
 สิงคโปร์เป็นประเทศที่มีพื้นที่จำกัดและมีแหล่งทรัพยากรธรรมชาติอยู่น้อย สินค้าส่งออกที่สำคัญจึงเป็นพวกเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ น้ำมันสำเร็จรูป แผงวงจรไฟฟ้า และส่วนประกอบอากาศยานและอุปกรณ์การบิน ส่วนสินค้านำเข้าที่สำคัญก็จะเป็นพวก พลังงาน อาหาร และวัตถุดิบในงานอุตสาหกรรม เช่น ยางพารา
    เดิมสิงคโปร์เป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า เทมาเส็ก (Temasek) หรือ ทูมาสิก (Tumasik) มีกษัตริย์เป็นผู้ปกครอง ในศตวรรษที่ 3 ของประวัติศาสตร์จีน มีการกล่าวถึงสิงคโปร์เป็นครั้งแรก ในชื่อของ โปหลัวชาง (Pu-Luo-Chung) ที่หมายถึงปลายสุดของคาบสมุทร
     ในศตวรรษที่ 13 เจ้าชายแสง นิลา อุตามา (Sang Nila Utama) แห่งปาเลมบัง (Palembang) (นครพระราชอาณาจักรศรีวิชัยประเทศอินโดนีเซีย) เดินทางออกมาแสวงหาสถานที่สำหรับสร้างเมืองใหม่ และได้สร้างเมืองขึ้นที่บริเวณเกาะเทมาเส็กและเปลี่ยนชื่อเป็น สิงหปุระ (Singapura) หรือ “เมืองสิงโต”  ซึ่งมาจากคำในภาษาสันสกฤต “สิงหะ (simha)” (สิงโต) กับคำว่า “ปุระ (pura)” (เมือง)
           พ.ศ.2054 สิงคโปร์ตกเป็นเมืองขึ้นของโปรตุเกส
           พ.ศ.2434 เซอร์ สแตมฟอร์ด ราฟเฟิลส์ (Sir Stamford Raffles) ตัวแทนของบริษัทบริติชอินเดียตะวันออก (The British East India Company) เดินทางมาตกลงการค้ากับสุลต่านผู้ปกครองสิงคโปร์ โดยมีการลงนามทำข้อตกลงเพื่อให้สิทธิ์แก่อังกฤษในการก่อตั้งสถานีการค้าที่สิงคโปร์และจัดตั้งเป็นท่าเรือปลอดภาษี สำหรับประเทศแถบเอเชียรวมถึงสหรัฐอเมริกาและตะวันออกกลาง และต่อมาก็ยึดครองสิงคโปร์ไว้ได้
สิงคโปร์ยุคใหม่ได้รับการก่อตั้งขึ้นในศตวรรษที่ 19 อันเนื่องมาจากการเมือง การค้า และบุรุษที่รู้จักกันในนาม เซอร์ สแตมฟอร์ด ราฟเฟิลส์ (Sir Stamford Raffles)
ในช่วงเวลาดังกล่าว จักรวรรดิอังกฤษกำลังมองหาท่าจอดเรือสินค้าในภูมิภาคนี้เพื่อใช้เป็นฐานสำหรับกองเรือสินค้าของตน และเพื่อไม่ให้ฝ่ายกองเรือของดัตช์ช่วงชิงความได้เปรียบในการแข่งขันทางการค้าจากฝ่ายอังกฤษ สิงคโปร์ ซึ่งในขณะนั้นเป็นศูนย์กลางทางการค้าที่กำลังรุ่งเรืองในแถบช่องแคบมะละกาอยู่ก่อนแล้ว จึงกลายเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
ราฟเฟิลส์ ซึ่งในขณะนั้นเป็นรองผู้ว่าการเมืองเบงคูเลน (ปัจจุบันนี้คือ เบงกูลู) ในเกาะสุมาตรา ได้เดินทางมาขึ้นฝั่งที่สิงคโปร์ในวันที่ 29 มกราคม ค.ศ. 1819 หลังจากที่ได้เล็งเห็นถึงศักยภาพอันมหาศาลของเกาะที่เต็มไปด้วยที่ลุ่มน้ำและหนองบึงแห่งนี้ จึงได้เข้ามาช่วยเจรจาทำสนธิสัญญากับบรรดาผู้ปกครองท้องถิ่น และก่อตั้งสิงคโปร์เป็นสถานีการค้าขึ้นมา เมืองแห่งนี้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นศูนย์กลางการค้าโดยเน้นเรื่องการให้บริการคลังสินค้า ทำให้ผู้คนอพยพหลั่งไหลเข้ามาทำงานทั้งจากประเทศจีน อินเดีย หมู่เกาะมาเลย์ และดินแดนที่ไกลออกไป
ในปี ค.ศ. 1822 ราฟเฟิลส์ได้ประกาศใช้แผนการจัดการผังเมืองของราฟเฟิลส์ (Raffles Town Plan) ซึ่งเรียกกันอีกชื่อว่า แผนการแจ็คสัน (Jackson Plan) เพื่อเข้ามาจัดการปัญหาความไร้ระเบียบในดินแดนอาณานิคมแห่งนี้ บริเวณย่านที่พักอาศัยได้ถูกแบ่งออกเป็น 4 ส่วนตามเชื้อชาติ เมืองยุโรปมีผู้พำนักเป็นพ่อค้าชาวยุโรป ชาวยูเรเซีย และชาวเอเชียผู้มั่งคั่ง ในขณะที่ชุมชนชาวจีนนั้นตั้งอยู่ในบริเวณที่เป็นไชน่าทาวน์ในปัจจุบันและด้านตะวันออกเฉียงใต้ของแม่น้ำสิงคโปร์ ชาวอินเดียพักอาศัยอยู่ในย่านชูเลีย กัมปง (Chulia Kampong) ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของย่านไชน่าทาวน์ และย่านกัมโปงกลาม ก็จะมีชาวมุสลิม ชาวมาเลย์ และชาวอาหรับซึ่งได้อพยพเข้ามาตั้งรกรากในสิงคโปร์ สิงคโปร์ยังคงเดินหน้าพัฒนาอย่างต่อเนื่องในฐานะสถานีการค้า โดยมีการตั้งธนาคารพาณิชย์ สมาคมนักธุรกิจ และสภาหอการค้าที่สำคัญ ๆ หลายแห่ง ในปี ค.ศ. 1924 มีการเปิดสะพานซึ่งเป็นเส้นทางคมนาคมเชื่อมทางตอนหนือของสิงคโปร์กับยะโฮร์ บาห์รูของมาเลเซีย
           ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2  สิงคโปร์ถูกโจมตีโดยกองทัพญี่ปุ่นในวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ. 1941 ผู้รุกรานบุกเข้ามาทางทิศเหนือ โดยทำให้ผู้บัญชาการกองกำลังของอังกฤษหลงกลเนื่องจากคาดว่าญี่ปุ่นจะยกพลขึ้นบกจากทางทิศใต้ ถึงแม้ว่าจะมีกองกำลังมากกว่า แต่ฝ่ายสัมพันธมิตรก็ยอมแพ้ต่อกองกำลังญี่ปุ่นในวันตรุษจีน ซึ่งตรงกับวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1942 นับเป็นการยอมแพ้ของกองกำลังที่นำโดยอังกฤษครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ เกาะแห่งนี้ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยได้รับสมญานามว่า “ป้อมปราการที่ไม่อาจตีฝ่าเข้าไปได้” ได้รับการเปลี่ยนชื่อเสียใหม่เป็น โชนันโตะ (Syonan-to) (หรือ “แสงแห่งเกาะใต้” ในภาษาญี่ปุ่น)เมื่อกองทัพญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้สงครามในปี ค.ศ. 1945 เกาะสิงคโปร์จึงถูกส่งมอบให้แก่คณะผู้บริหารกองทัพอังกฤษ (British Military Administration) ซึ่งอยู่ในอำนาจมาจนกระทั่งมีการยุบนิคมช่องแคบ (Straits Settlement) ซึ่งประกอบด้วย เกาะปีนัง มะละกา และสิงคโปร์ ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1946 สิงคโปร์ได้กลายเป็นดินแดนอาณานิคมอังกฤษ
ในปี ค.ศ. 1959 กระแสชาตินิยมที่ทวีขึ้นทุกขณะได้นำไปสู่การปกครองตนเอง และมีการจัดการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศ พรรคกิจประชาชน (People’s Action Party - PAP) ชนะการเลือกตั้งครองเสียงข้างมากในสภาจำนวน 43 ที่นั่ง และนายลี กวน ยู ก็ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของสิงคโปร์
           พ.ศ.2506 สิงคโปร์ได้รับเอกราชจากอังกฤษและเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสหพันธรัฐมลายา หรือมาเลเซียในปี (ค.ศ. 1963 )ได้มีการก่อตั้งประเทศมาเลเซีย ซึ่งประกอบขึ้นด้วยสหพันธรัฐมาลายา สิงคโปร์ ซาราวัก และบอร์เนียวเหนือ (ปัจจุบันนี้คือซาบาห์) การเดินเกมการเมืองในครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกันให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่าการควบรวมสิงคโปร์เข้าไปในครั้งนั้นไม่ประสบความสำเร็จ 
         พ.ศ.2508 สิงคโปร์แยกตัวออกจากมาเลเซีย และประกาศตัวเป็นเอกราช ตั้งแต่นั้นมาสิงคโปร์ก็พยายามพัฒนาและปรับปรุงประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้า และประชากรมีมาตรฐานคุณภาพชีวิตที่สูงสุด
ทุกวันนี้ สิ่งของและสถานที่ต่าง ๆ ที่บอกเล่าเรื่องราวในอดีตของสิงคโปร์ซึ่งเป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมหลากหลาย เรื่องราวในยุคสมัยอาณานิคม และยุคสงคราม ได้รับการอนุรักษ์เอาไว้เป็นอย่างดีทั้งในตัวเมืองและบริเวณรอบ ๆ สามารถเยี่ยมชมอนุสาวรีย์ พิพิธภัณฑ์ และอนุสรณ์สถานต่าง ๆ หรือเดินทางย้อนเวลากลับไป โดยการเดินไปตามเส้นทางเดินเที่ยวสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์

ชื่อสำคัญในตำบลรัษฎา

ตำบลรัษฎา เดิมชื่อ ตำบลสั้นใน ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๘๓ ได้มีการเปลี่ยนชื่อตำบลชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี (คอซิมบี๊ ณ ระนอง) สมุหเทศาภิบาลสำเร็จราชการมณฑลภูเก็ต (พ.ศ. ๒๔๔๔- ๒๔๕๖) และเป็นผู้ได้รับพระราชทานนามสกุล ณ ระนอง
พื้นที่ตำบลมีเนื้อที่โดยประมาณ ๓๘ ตารางกิโลเมตรพื้นที่ประมาณ ร้อยละ ๔๐ เป็นภูเขา อีกร้อยละ ๖๐ เป็นพื้นที่ราบประกอบด้วยที่ราบเนินเขา (ม.๒, ๓, ๕ และ ม.๖) และที่ราบริมฝั่งทะเล (ม.๑, ๔ และ ๗) ซึ่งเป็นป่าชายเลน มีหมู่บ้าน ๗ หมู่บ้าน ม.๑ บ้านเกาะสิเหร่ ม.๒ บ้านบางชีเหล้า,หมู่ที่ ๓ บ้านกู้กู, ม.๔ บ้านแหลมตุ๊กแก, ม.๕ บ้านทุ่งคาพะเนียงแตก, ม.๖ บ้านลักกงษี ม.๗ บ้านท่าเรือใหม่
                บ้านกู้กู
บ้านกู้กูเกิดจากการเข้ามาตั้งถิ่นฐานของชาวบ้านที่ค่อนข้างลำบากยากจน ไม่เป็นที่แน่ชัดว่ากลุ่มใดเพราะตามตำนานเล่าขานมีสองความเห็นคือ หนึ่ง เป็นทาสที่ได้รับการปลดปล่อย กับความเห็นที่สองคือ ชาวบ้านไพร่พลยากจนที่อพยพย้ายถิ่นฐานมาจากที่อื่น และพบว่าบริเวณหมู่บ้านมีความอุดมสมบูรณ์ ทั้งภูเขา แหล่งน้ำ ทะเล สามารถทำการเกษตร ปลูกผัก ยางพารา ทำนา ซึ่งนาผืนสุดท้ายปัจจุบันคือ ไร่วานิช นอกจากนี้มีการทำประมงชายฝั่งดักจับสัตว์น้ำ โดยใช้เครื่องมือที่ทำขึ้นเช่นใช้นางหากุ้ง ต่อมาก็มีการร่อนแร่ตามลำราง จากความอุดมสมบูรณ์จนมีการเปรียบเทียบว่าถ้าอยู่ที่กู้กูไม่ต้องซื้อกับข้าวเพียงหุงข้าวไว้แล้วออกไปหาอาหารกลับมาข้าวสุกได้กินพร้อมข้าวพอดี นั้นหมายถึงบริเวณใกล้ ๆ บ้านก็สามารถหาอาหารได้ง่ายไม่ลำบาก จนทำให้ผู้คนมีชีวิตที่ดี จึงบอกว่าพื้นดินแห่งนี้คือแหล่งกู้กูและเรียกว่าหมู่บ้านนี้ว่า “บ้านกู้กู”
ในครั้งหนึ่งที่ชาวบ้านและคุณลุงจำรัส ภูมิภูถาวร ครูภูมิปัญญาได้มีโอกาสได้เข้าถวายงานต่อหน้าพระพักตร์สมเด็จพระเทพฯ ณ สวนอัมพร ปรากฏว่าเมื่อขึ้นชื่อป้ายหมู่บ้านมีข้าราชการมาบอกว่าให้เอาลงเนื่องจากไม่สุภาพ แต่เมื่อพระองค์เสด็จมาถึงได้ตรัสถามว่าเหตุใดจึงไม่มีป้ายชื่อเมื่อสดับฟังก็ทรงตรัสด้วยพระเมตตาว่า “ท่านก็กูเราก็กู” ยังความปลื้มปีติอย่างหาที่สุดมิได้แก่ราษฎรบ้านกู้กู
                บ้านท่าจีน / บ้านคอกช้าง
ในช่วงที่มีการอพยพตั้งรกรากอาศัยบริเวณนี้เป็นที่อยู่ของชาวจีนโพ้นทะเลที่มีการเดินทางมาตามเส้นทางสิงคโปร์ ปีนัง ส่วนใหญ่มาจากมณฑลฮกเกี้ยนของจีน มีเชื้อสายจีนฮกเกี้ยน มาตั้งถิ่นฐานริมชายฝั่งเกาะภูเก็ตและที่ท่าจีนนี้ มีการสร้างท่าเทียบเรือเป็นที่สำหรับจอดเรือขนาดเล็กมีท่าบน และท่าล่าง จึงเรียกว่าท่าจีนจากการที่ผู้คนที่อยู่บริเวณท่าส่วนใหญ่เป็นคนเชื้อสายจีน มีอาชีพทำสวน ทำไร่ หาปลา หาปูโดยใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่ายอง
ถัดมาเรียกว่า บ้านคอกช้างเพราะเป็นพื้นที่ที่เดิมใช้เลี้ยงช้าง
เกาะสิเหร่
ความเป็นมาของชื่อ และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
เป็นพื้นที่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะภูเก็ต โดยมีคลองท่าจีนระหว่างเกาะกับแผ่นดินใหญ่มีสะพานเชื่อมการคมนาคมระหว่างเกาะกับผืนดินของเกาะภูเก็ต ซึ่งอาจจะนับเป็นเกาะแยกออกมาหรือเป็นพื้นที่ของเกาะภูเก็ตก็ได้ เกาะสิเหร่อยู่ห่างจากตัวเมืองภูเก็ตประมาณ 4 กิโลเมตร มีเนื้อที่ประมาณ 20 ตารางกิโลเมตร คนส่วนใหญ่มีอาชีพประมง เก็บหอย หาหอยมุก “สิเหร่” เป็นภาษา ยาวี มลายู แปลว่า  พลู  ใบพลู
จากภาษาชาวเลว่า ปูเลาสิเหร่ หมายถึง เกาะพลู (ปูเลา แปลว่า เกาะ, สิเหร่ แปลว่า พลู )
[ข้อมูลนี้ได้จากหนังสือ ถลาง ภูเก็ต และชายฝั่งอันดามัน โบราณคดี ประวัติศาสตร์ ชาติพันธุ์ และเศรษฐกิจ กรมศิลปากรพิมพ์เนื่องในโอกาสสมเด็จพระเทพรัตน์ราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นประธานในพิธีเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ถลาง 14 มีนาคม 2532 หน้า 222]
มีความเป็นไปได้ว่าลักษณะของเกาะสิเหร่ใกล้เคียงกับเกาะปีนังซึ่งในแผนที่เดินเรือ เรียกว่า ปูเลา ปีนัง หรือ เกาะหมาก เมื่อนักเดินเรือที่เดินทางจากปีนังมาพบเกาะสิเหร่นี้จึงให้เป็นเกาะแฝดและใช้ชื่อว่า ปูเลาสิเหร่ หรือ เกาะพลู และใช้ชื่อ เกาะสิเหร่สืบต่อมา
รูปภาพประกอบ
ภาพถ่ายดาวเทียมแสดงสภาพพื้นที่เกาะสิเหร่


ภาพแสดง บ้านแหลมตุ๊กแก
สถานที่สำคัญ
(๑)   แหลมตุ๊กแก ตั้งอยู่บริเวณบนเกาะสิเหร่ หมู่ที่ ๔ ตำบลรัษฎา บ้านแหลมตุ๊กแก คือ หมู่บ้านชาวเลกลุ่มใหญ่ที่สุดของภูเก็ต หมู่บ้านอยู่ปลายสุดของเกาะสิเหร่ส่วนหนึ่งเป็นชาวอูรักลาโว้ย หรือที่เรียกได้หลายชื่อ อาทิ ชาวเล, ชาวน้ำ, ชาวไทยใหม่ อาศัยอยู่บริเวณนี้มาช้านานมีจำนวนกว่า 200 หลังคาเรือน บ้านแต่ละหลังเป็นบ้านไม้ที่สร้างขึ้นแบบเรียบง่าย
(๒)  แหลมหงา ตั้งอยู่บนเกาะสิเหร่ หมู่ที่ ๑ เป็นหมู่บ้านชาวไทยที่ดั้งเดิมมีบรรพบุรุษส่วนใหญ่สืบเชื้อสายมาลายู อินโด นับถือศาสนาอิสลาม มาอาศัยอยู่ก่อน แต่ในปัจจุบันเริ่มมีคนย้ายถิ่นเข้ามาอาศัยและมีการแต่งงานแยกครอบครัวออกไปบ้างจึงมีความหลากหลายทางวัฒนธรรม ผู้คนพื้นถิ่นเดิมอาศัยปลูกยางทำสวน ทำไร่ ประมง หาปลา หาหอย

โหนทรายทอง
เกิดจากการอพยพย้ายถิ่นของประชาชนที่ไร้ที่อยู่อาศัย ซึ่งเดิมบริเวณนี้เป็นแหล่งทำแร่ดีบุกแต่เมื่อเลิกเหมืองแร่จึงเหลือสภาพเป็นเนินทรายขนาดใหญ่ซึ่ง คนภูเก็ต เรียกว่าท่องขี้ทราย หรือโหนขี้ทราย เมื่อเกิดเป็นชุมชน จึงตั้งชื่อชุมชนนี้ว่า โหนทรายทอง

วัดโฆษิตวิหาร
วัดโฆษิตวิหาร เดิม เรียกว่า วัดโคกแสร้ง หรือ โคกแซะ เนื่องจากที่ตั้งมีต้นแซะจำนวนมาก จนเปลี่ยนมาเป็นวัดโฆษิตวิหารและได้รับวิสงคามสีมา เมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๔๕๕
บ้านโดราว เพี้ยนมาจาก ประดู่ราว (สำเนียงท้องถิ่นภูเก็ตเรียกต้นประดู่ว่าต้นโด) เนื่องจากมีการปลูกประดู่เป็นแถวต่อเนื่องตลอดแนว
บริเวณนี้ในอดีต คือลานประหาร และ นักโทษประหารรายสุดท้ายคือ นายจันทร์ บริบาล หรือหมอจันทร์ ผู้ปลิดชีพ พระยารัษฎานุประดิษฐ์ ด้วยปืนเบรานิ่ง เมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๔๕๖ และ ถึงอนิจกรรมหลังจากรักษาตัวหลังจากนั้นอีก ๔๕ วัน ในวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๔๕๖ ณ เมืองปีนัง มาเลเซีย
รูปภาพประกอบ
-          สถานที่สำคัญ บ้านโคกแซะ หรือ โคกแสร้ง, ลานประหารมณฑลภูเก็ต
-          บุคคลสำคัญที่เกี่ยวข้อง นายจันทร์ บริบาล พระยารัษฎานุประดิษฐ์

สุสานพระอร่าม
หลุมฝังศพของอำมาตย์ตรี พระอร่ามสาครเขต ตั้งอยู่ริมถนนเทพกระษัตรี ตำบลรัษฎา ที่มีความวิจิตรซุ้มประตูสร้างด้วยศิลปะแบบจีน สถูปอาคารเป็นทรงลังกาแบบสุโขทัย และตกแต่งภายในแบบยุโรป  อย่างวิจิตรงดงาม พร้อม อนุสาวรีย์ พระอร่ามสาครเขต และฝังสมบัติ เครื่องเพชร ทอง รัตนชาติไว้ ซึ่งมีคุณค่าทางศิลปะและประวัติศาสตร์ที่สำคัญ
-          สถานที่สำคัญ สะพานพระอร่าม บ้านพระอร่ามสาครเขตร วัดป่าอร่ามรัตนาราม โรงพยาบาลมิชชั่น
-          บุคคลสำคัญที่เกี่ยวข้อง พระอร่ามสาครเขต ต้นตระกูล ตัณฑัยย์

เขาโต๊ะแซะ เป็นยอดเขาสูงเป็นที่ตั้งสถานีส่งสัญญาณโทรทัศน์ และวิทยุ หากขึ้นมาจากทางศาลจังหวัดภูเก็ต ตรงเชิงเขาทางด้านซ้ายมือ จะเห็นมีศาลเจ้าพ่อโต๊ะแซะตั้งอยู่
ศาลเจ้าพ่อโต๊ะแซะ มีอยู่สองแห่งด้วยกัน คือ ที่ถนนสุทัศน์กับบนยอดเขาโต๊ะแซะ ภายในศาลเจ้ามีรูปหล่อของโต๊ะแซะขาว โต๊ะแซะดำ และโต๊ะแซะแดง ซึ่งเชื่อกันว่า ท่านเป็นเจ้าที่ ซึ่งชาวบ้านให้ความเคารพนับถือกันมาก บางคนที่เคร่งจริงๆ เค้าจะไม่ทานหมู ทุกวันศุกร์ ที่ศาลเจ้าพ่อโต๊ะแซะนี้ เค้าจะจัดงาน เซ่นไหว้บวงสรวง เป็นประจำในเดือนหกของทุกปี โดยในวันนั้น จะมีการประทับทรงและเซ่นไหว้กัน ซึ่งของเซ่นไหว้ก็มี พริกแดง หมากพลู ยาเส้นใบจาก ดอกไม้ พวงมาลัย ข้าวเหนียวขาว และข้าวเหนียวเหลือง ส่วนที่ห้ามเด็ดขาดเลยก็คือ ห้ามนำหมู เข้ามาในศาลเจ้าเด็ดขาด
          ประวัติความเป็นมา เล่าว่าบริเวณภูเขาแห่งนี้เป็นที่อยู่ของนักปราชญ์ชาวมุสลิม ๓ ท่านซึ่งเป็นพี่น้องกัน คือโต๊ะแซะขาว โต๊ะแซะดำ และโต๊ะแซะแดง ตามลำดับ (คำว่าโต๊ะ หมายถึงผู้อาวุโส  และ แซะ หมายถึง อาจารย์ นักปราชญ์ ผู้รู้ )เป็นที่เครารพนับถือของชาวบ้านอย่างมากจนเมื่อท่านสิ้นชีวิตก็มีความเชื่อและยังนับถือมาถึงปัจจุบันโดยมีการสร้างศาลแห่งแรกบริเวณเชิงเขา ถนนสุทัศน์ไว้และมีสร้างบนยอดเขาเป็นแห่งที่สอง
          บนยอดเขามีน้ำตก เรียกกันว่า น้ำตกบางวัน เนื่องจากจะมีสภาพเป็นน้ำตกเฉพาะช่วงที่มีฝนตก

เขานางพันธุรัตน์เป็นเทือกเขาสำคัญในจังหวัดภูเก็ต เล่าต่อกันมาว่าในอดีตช่วงที่ภูเก็ตมีการทำเหมืองแร่ดีบุกชาวบ้านออกมาร่อนแร่ได้เครื่องประดับทองจำนวนมากแต่ไม่สามารถใส่ได้เพราะมีขนาดใหญ่เกินปกติเช่นแหวนแต่มีขนาดเท่ากำไล จึงคิดว่าภูเขาแห่งนี้ต้องเคยเป็นที่อยู่อาศัยของยักษ์จึงเรียกว่า เขานางพันธุรัตน์ ตามชื่อนางยักษ์ในวรรณคดีไทย เรื่องสังข์ทอง

บางชีเหล้า
คำว่า บางชีเหล้า เพี้ยนมาจาก บางเจ๊ะหล้า (บาง = คลอง , ชีเหล้า เพี้ยนมาจากเจ๊ะหล้า หรือ พี่ ชื่อหล้า) ชุมชนบริเวณนี้เกิดจากการตั้งถิ่นฐานของชาวมุสลิม บริเวณใกล้ริมคลอง

ในอดีตมีหมอยาที่เป็นที่รู้จักในนาม โต๊ะจีน แต่ไม่ทราบชื่อเดิม ที่เรียกกันว่าโต๊ะจีนเนื่องจากท่านเป็นมุสลิมที่สามารถพูดจีนได้และมีเพื่อเป็นคนจีนมากจนใคร ๆ ต่างตั้งสมญานามว่าโต๊ะจีน และมีน้องสาวเป็นหมอตำแย ชื่อดัง ชื่อ สม้า ใคร ๆ ก็เรียก มะสม้า