ตำบลศรีสุนทร
คนดีศรีสุนทร รู้รักสามัคคี อยู่ดีมีสุข
ด้วยปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
คนดีศรีสุนทร รู้รักสามัคคี อยู่ดีมีสุข
ด้วยปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
โดย สภาองค์กรชุมชน ตำบลศรีสุนทร
ประวัติความเป็นมา
ตำบลศรีสุนทรเกิดจากการรวมตำบลเข้าด้วยกัน
2 ตำบล คือ
ตำบลท่าเรือ และตำบลลิพอน และได้ตั้งชื่อว่าตำบลศรีสุนทร
เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๖ เพื่อรำลึกและเชิดชูเกียรติแก่ท้าวเทพกระษัตรีและท้าวศรีสุนทร
สองวีรสตรีผู้กอบกู้ป้องกันบ้านเมืองจากการรุกรานของต่างชาติ ต่อมาประชาชนชาวภูเก็ต
โดยการนำของนายอ้วน สุระกุล ผู้ว่าราชการ จังหวัดภูเก็ต ในสมัยนั้น
ได้ร่วมใจกันสร้าง อนุสาวรีย์ท้าวเทพกระษัตรี ท้าวศรีสุนทร เมื่อวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2509
โดยอนุสาวรีย์ ตั้งอยู่กลางวงเวียน บนถนนเทพกระษัตรี อำเภอถลาง
(บ้านท่าเรือ) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินมาเปิดอนุสาวรีย์
เมื่อวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๑๐ ณ
ตำบลศรีสุนทรในปัจจุบันเพื่อให้ลูกหลานชาวไทยได้รำลึกถึงวีรกรรมของวีรสตรีและบรรพบุรุษชาวถลางที่ปกบ้านป้องเมืองไว้ให้ลูกหลานสืบมา
นอกจากเป็นพื้นที่ประวัติศาสตร์ที่สำคัญของปวงชนชาวไทยแล้ว
ตำบลศรีสุนทรยังเป็นพื้นที่ที่มีเรื่องราวพื้นบ้านที่น่าสนใจมากมายเช่น
ประวัติบ้านท่าเรือ บ้านพอน บ้านม่าหนิก
อีกทั้งยังมีวิถีชีวิตที่ยังคงอนุรักษ์ประเพณีศิลปวัฒนธรรมดั้งเดิม เช่น หัตถกรรม
จักรสาน ทำไม้กวาด ขนมพื้นบ้าน งานผ้าบาติก น้ำมันมะพร้าว การปลูกพืชผักพื้นเมือง
การเกษตรเชิงอินทรีย์ บนความหลากหลายทางวัฒนธรรมดังปรากฏสถานที่ที่น่าสนใจ
ไม่ว่าจะเป็นศาลเจ้าท่าเรือ วัดศรีสุนทร วัดท่าเรือ ศาลหลักเมือง และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติถลาง บ้านพระยาวิชิตสงคราม ฯลฯ
ท่ามกลางกระแสความเปลี่ยนแปลงของโลกและเทคโนโลยีแต่ชาวศรีสุนทรยังคงยืนหยัดที่จะสร้างสรรค์สิ่งดีเพื่อลูกหลานด้วยการรวมกลุ่มจัดตั้งสภาวัฒนธรรม กองทุนสวัสดิการชุมชน และสภาองค์กรชุมชนขึ้น เพื่อช่วยกันดูแล ชีวิตความเป็นอยู่ วิถีชุมชน วัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม เหมือนที่บรรพบุรุษได้สร้างไว้
ท่ามกลางกระแสความเปลี่ยนแปลงของโลกและเทคโนโลยีแต่ชาวศรีสุนทรยังคงยืนหยัดที่จะสร้างสรรค์สิ่งดีเพื่อลูกหลานด้วยการรวมกลุ่มจัดตั้งสภาวัฒนธรรม กองทุนสวัสดิการชุมชน และสภาองค์กรชุมชนขึ้น เพื่อช่วยกันดูแล ชีวิตความเป็นอยู่ วิถีชุมชน วัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม เหมือนที่บรรพบุรุษได้สร้างไว้
ประวัติหมู่บ้านชุมชน
ตำบลลิพอน (เดิม) บ้านลิพอน บ้านพอน หรือ บ้านหลีกพ้นมีหนึ่งความเชื่อเดิมเล่าว่า
ในสมัยที่พม่าได้ยกทัพมาตีเมืองถลาง ชาวบ้านได้หลบภัยมาอยู่ที่นี่
ทหารพม่าตามหาชาวบ้านไม่พบ ชาวบ้านจึงเรียกที่นี่ว่า “
บ้านหลีกพ้น”
ตำบลท่าเรือ (เดิม) บ้านท่าเรือ
สถานที่แห่งนี้เป็นเมืองท่ามาตั้งแต่อดีต เคยเป็นท่าเรือใหญ่ที่ชาวต่างประเทศต้องแวะมาติดต่อกับเมืองถลาง
บริเวณท่าเรือเคยเป็นที่อยู่ของ "พระยาพิมลขันธ์"
ผู้เป็นสามีของท้าวเทพฯ เมื่อ พ.ศ.2327 สมัยก่อนที่นี่มีบ้านเรือนอยู่ราว
80 หลังคาเรือนเท่านั้น
ท่าเรือแห่งนี้ถือเป็นแหล่งการค้าที่สมบูรณ์ที่สุด แขกบ้านแขกเมืองที่จะเข้ามาติดต่อการค้ากับหัวเมืองต่างๆ ก็ต้องนำเรือมาขึ้นลงที่ท่านี้ แล้วจึงนั่งช้าง หรือขี่ม้าออกไปยังหัวเมืองนั้นๆ
ภายในบริเวณท่าเรือก็จะมีการค้ารายย่อย เช่น เสื้อผ้า แพรพรรณ เครื่องประดับต่างๆ และชาวเมืองถลางท่าเรือก็มักจะนำสินค้าพื้นเมือง เช่น ดีบุก หรือของป่า มาแลกเปลี่ยนกับสินค้าเหล่านั้น เมืองถลางท่าเรือเคยมีเจ้าเมืองที่มาจากพ่อค้าชื่อ”เจ๊ะมะ” หรือ “มะเจิม” เจ๊ะมะ เป็นบุคคลในตระกูลเชื้อสายเจ้า ผันชีวิตตนเองมาเป็นพ่อค้าที่มีชื่อเสียงอยู่ที่เมืองถลางท่าเรือ มีสมาชิกที่ร่วมกันทำการค้าที่บ้านท่าเรือเป็นจำนวนมาก เจ้าพระยานครได้ยกถลางท่าเรือขึ้นเป็นเมือง และให้เจ๊ะมะ เป็นพระยาถลาง ปกครองเมืองถลางท่าเรือ ต่อมามีประชาชนเพิ่มมากขึ้น จึงได้มีการยกเมืองถลางขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ ส่วนพระถลางเจิม ได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น“พระยาถลางเจิม” พระยาถลางเจิมมีบุตรชายชื่อแก้ว ได้ตำแหน่งเป็นพระภูเก็จอยู่ที่บ้านเก็ตโฮ่ พระภูเก็ตแก้ว มีบุตรชายชื่อทัด ได้เป็นพระยาวิชิตสงคราม เจ้าเมืองภูเก็ต
ท่าเรือแห่งนี้ถือเป็นแหล่งการค้าที่สมบูรณ์ที่สุด แขกบ้านแขกเมืองที่จะเข้ามาติดต่อการค้ากับหัวเมืองต่างๆ ก็ต้องนำเรือมาขึ้นลงที่ท่านี้ แล้วจึงนั่งช้าง หรือขี่ม้าออกไปยังหัวเมืองนั้นๆ
ภายในบริเวณท่าเรือก็จะมีการค้ารายย่อย เช่น เสื้อผ้า แพรพรรณ เครื่องประดับต่างๆ และชาวเมืองถลางท่าเรือก็มักจะนำสินค้าพื้นเมือง เช่น ดีบุก หรือของป่า มาแลกเปลี่ยนกับสินค้าเหล่านั้น เมืองถลางท่าเรือเคยมีเจ้าเมืองที่มาจากพ่อค้าชื่อ”เจ๊ะมะ” หรือ “มะเจิม” เจ๊ะมะ เป็นบุคคลในตระกูลเชื้อสายเจ้า ผันชีวิตตนเองมาเป็นพ่อค้าที่มีชื่อเสียงอยู่ที่เมืองถลางท่าเรือ มีสมาชิกที่ร่วมกันทำการค้าที่บ้านท่าเรือเป็นจำนวนมาก เจ้าพระยานครได้ยกถลางท่าเรือขึ้นเป็นเมือง และให้เจ๊ะมะ เป็นพระยาถลาง ปกครองเมืองถลางท่าเรือ ต่อมามีประชาชนเพิ่มมากขึ้น จึงได้มีการยกเมืองถลางขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ ส่วนพระถลางเจิม ได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น“พระยาถลางเจิม” พระยาถลางเจิมมีบุตรชายชื่อแก้ว ได้ตำแหน่งเป็นพระภูเก็จอยู่ที่บ้านเก็ตโฮ่ พระภูเก็ตแก้ว มีบุตรชายชื่อทัด ได้เป็นพระยาวิชิตสงคราม เจ้าเมืองภูเก็ต
ในปี พ.ศ. 2491 ได้เกิดเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างกุลีจีนต่างก๊ก
เรื่องผลประโยชน์ของการค้าแร่ ทำให้ผู้คนเดือนร้อน และล้มตายเป็นจำนวนมาก
ท่านพระยาวิชิตสงครามจึงได้ออกจากเมืองภูเก็ต มาสร้างบ้านที่แข็งแรงดั่งป้อมปราการในที่ดินของปู่(พระยาถลางเจิม) ต่อมาพระยาวิชิตสงคราม แก่ชราลง ได้รับเลื่อนขึ้นเป็นพระยาจางวาง
จึงได้ยกบ้านหลังนี้ให้กับพระยาภูเก็จลำดวน บุตรคนโตของท่าน
ซึ่งมีตำแหน่งเป็นผู้ว่าราชการเมืองภูเก็จ
แต่พระยาภูเก็จลำดวนได้ติดค้างค่าภาษีอากร จึงมอบบ้านหลังนี้ให้เป็นของหลวง
ปัจจุบันบ้านหลังนั้น ได้กลายเป็นโบราณสถานของจังหวัดภูเก็ต
ของดีของคนตำบลศรีสุนทร
ม.1 บ้านลิพอนเขาล้าน
สมัยก่อนภูเขาไม่มีต้นไม้ เลยเรียกกันมาว่าบ้านลิพอนเขาล้าน
ม.2 บ้านลิพอนบางกอก
สมัยก่อนเรียกหมู่บ้านหลีกพ้น ต่อมาเปลี่ยนเป็นหมู่บ้านลิพอน
ต่อมามีพม่าตีถลางผ่านมาหมู่บ้านทำให้พม่ามองไม่เห็นหมู่บ้านเพราะมีต้นไม้บังเป็นเกาะอยู่
พม่าไม่เห็นเลยเข้าไปทางป่าคลอก ทำให้มีชื่อเรียกกันว่าบ้านลิพอนบางกอก
·
ม.3 หมู่บ้านท่าเรือ
เดิมมีคลองที่ใหญ่และมีเรือ 3 หลัก สำหรับบรรทุกสินค้าสมัยโบราณสถานที่สำคัญได้แก่
· อนุสาวรีย์ วีรสตรีท้าวเทพกระษัตรีท้าวศรีสุนทร, บ้านพระยาวิชิตสงคราม,ศาลหลักเมือง
บ้านพระยาวิชิตสงคราม ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับศาลเจ้าท่าเรือ มีคลองหัวท่าขั้นระหว่างบ้านพระยาวิชิตสงครามกับศาลเจ้าท่าเรือ และอยู่ห่างจากสี่แยกอนุสาวรีย์ท้าวเทพกระษัตรี-ท้าวศรีสุนทรเพียงเล็กน้อย บ้านพระยาวิชิตสงครามมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ที่กล่าวถึง อยู่ ๒ ฉบับ ทำให้ได้ความกระจ่างเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ได้เป็นอย่างดี คือ หนังสือจดหมายระยะทางไปตรวจราชการ แหลมมลายู ร.ศ. ๑๒๑ ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ และหนังสือจดหมายเหตุประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้ ร.ศ. ๑๒๘ ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ โดยทั้ง ๒ พระองค์ได้เสด็จสถานที่แห่งนี้ และได้ระบุลักษณะของบ้านหลังนี้ไว้ตรงกันคือ มีกำแพงมั่นคงแข็งแรง และมีป้อมหรือหอรบอยู่ทั้ง ๔ ด้าน โดยเฉพาะรัชกาลที่ ๖ ทรงเสด็จ ฯ สถานที่แห่งนี้เมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน ร.ศ. ๑๒๘ (พ.ศ.๒๔๕๒
บ้านพระยาวิชิตสงคราม ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับศาลเจ้าท่าเรือ มีคลองหัวท่าขั้นระหว่างบ้านพระยาวิชิตสงครามกับศาลเจ้าท่าเรือ และอยู่ห่างจากสี่แยกอนุสาวรีย์ท้าวเทพกระษัตรี-ท้าวศรีสุนทรเพียงเล็กน้อย บ้านพระยาวิชิตสงครามมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ที่กล่าวถึง อยู่ ๒ ฉบับ ทำให้ได้ความกระจ่างเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ได้เป็นอย่างดี คือ หนังสือจดหมายระยะทางไปตรวจราชการ แหลมมลายู ร.ศ. ๑๒๑ ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ และหนังสือจดหมายเหตุประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้ ร.ศ. ๑๒๘ ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ โดยทั้ง ๒ พระองค์ได้เสด็จสถานที่แห่งนี้ และได้ระบุลักษณะของบ้านหลังนี้ไว้ตรงกันคือ มีกำแพงมั่นคงแข็งแรง และมีป้อมหรือหอรบอยู่ทั้ง ๔ ด้าน โดยเฉพาะรัชกาลที่ ๖ ทรงเสด็จ ฯ สถานที่แห่งนี้เมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน ร.ศ. ๑๒๘ (พ.ศ.๒๔๕๒
ม.4 หมู่บ้านบางโจ
เดิมเป็นหมู่บ้านที่ทำไร่เลื่อนลอย อยู่ตามริมน้ำ เป็นหลุมเป็นบ่อ
·
ม.5 บ้านลิพอนใต้
ตั้งอยู่ทิศใต้ของหมู่บ้านและเป็นหมู่บ้านที่ใหญ่
บ้านนาสาด มีนามาก ช่วงที่นาข้าวสุกจะดูเหมือนกับพื้นสาด(เสื่อ) เป็นที่ตั้ง อนุสาวรีย์ท้าวเทพกระษัตรีท้าวศรีสุนทร
·
ม ม.6 บ้านยา
เป็นหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกล ไปมาลำบาก ชาวบ้านจึงไม่ค่อยเดินทางไป
เป็นที่ตั้งของศาลเจ้าแม่นางถลาง
ม.7 บ้านม่าหนิก บางตำนานเล่าขานเชื่อกันว่าเป็นเพราะม้าบรรทุกสินค้าหนักมาก ทำให้ม้าตาย จึงเพี้ยนมาเป็นม่าหนิก
อีกความเชื่อคือ ชื่อว่า"บ้านมานิค"ซึ่งมาจากคำภาษาทมิฬโบราณ แปลว่า "ทับทิม หรือ แก้ว" มีการสันนิษฐานว่าเป็นชื่อผันแปรมาจากคำว่า "มนิกกิมัม"ในจารึกภาษาทมิฬที่พบจากอำเภอตะกั่วป่า ใกล้ๆกับเทวรูปในศาสนาพราหมณ์ ลัทธิไวษณพนิกายซึ่งถูกทิ้งอยู่ในเขาพระนารายณ์นานมาแล้ว คำว่า "มนิกกิมัม"แปลว่า"เมืองทับทิม" หรือ "เมืองแก้ว"
อีกความเชื่อคือ ชื่อว่า"บ้านมานิค"ซึ่งมาจากคำภาษาทมิฬโบราณ แปลว่า "ทับทิม หรือ แก้ว" มีการสันนิษฐานว่าเป็นชื่อผันแปรมาจากคำว่า "มนิกกิมัม"ในจารึกภาษาทมิฬที่พบจากอำเภอตะกั่วป่า ใกล้ๆกับเทวรูปในศาสนาพราหมณ์ ลัทธิไวษณพนิกายซึ่งถูกทิ้งอยู่ในเขาพระนารายณ์นานมาแล้ว คำว่า "มนิกกิมัม"แปลว่า"เมืองทับทิม" หรือ "เมืองแก้ว"
·
มีศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง
ด้าการปลูกผักปลอดสารพิษ , ด้านการเลี้ยงปลา
·
เขื่อนบางเหนียวดำ จุดชมวิวศาลาแปดเหลี่ยม น้ำตกโตนไอ้เฮ
ม.8 บ้านพอนหัวหาร – บ่อแร่
เป็นพื้นที่ที่ยื่นออกไปในน้ำ มีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ได้แก่ บ่อเงิน (น้ำคัน)
บ่อทอง (บ่อแร่)
เป็นการรวมหมู่บ้าน 4 ชุมชน คือ บ้านลิพอน หัวหาร , บ้านแขก, บ้านผุด บ้านบ่อแร่
บ้านหัวหาร มี2 ความเชื่อ คือ เดิมพื้นที่ดังกล่าวเป็นป่ารกมีสัตว์อาศัยอยู่มากโดยเฉพาะเสือ
ทำให้ไม่มีใครกล้ามาตั้งถิ่นฐาน แต่มี 3 ต้นตระกูลมาอาศัยจึงเรียกว่า
บ้านหัวหาร
อีกความเชื่อ คือ
หนองน้ำในหมู่บ้านเดิมเรียกหนองหาร บริเวณหมู่บ้านจึงเรียกบ้านหัวหาร
บ้านแขก เป็นบริเวณชุมชนมุสลิม
บ้านบ่อแร่ จะมีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์และมีรูปปั้นพ่อท่านบ่อแร่เป็นที่เคารพบูชาของชาวบ้าน
บ้านผุด เดิมพื้นที่ดังกล่าวมีตาน้ำผุดอยู่ทั่วบริเวณ
สถานที่สำคํญคือศาลเจ้าสักการะพ่อท่านบ่อแร่
·
ข้อมูล: รายการพาเที่ยวชุมชน DC cable
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น